ไมค์ ตำนานไก่ไร้หัว ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขได้ หลังจากที่คอถูกตัดขาดจากตัวได้นานถึง 18 เดือน!!!
เรื่องราวเกิดขึ้นวันที่ 10 กันยายน 2488 เมื่อนายลอยด์ ซึ่งเป็นเจ้าของฟาร์มไก่แห่งหนึ่ง ในฟรูอิทา รัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐฯ ลงมือเชือดไก่ เพื่อนำไปขายที่ตลาดและเป็นอาหารมื้อเย็น เย็นวันนั้นสามีภรรยาครอบครัวโอลเซ่น ( Olsen) ตั้งใจจะทำเมนูไก่เป็นอาหารมื้อค่ำ โดยเจ้าไมค์คือไก่เคราะห์ร้ายที่คู่สามีภรรยาเลือกเพื่อเป็นวัตถุดิบในการปรุงอาหารขึ้นโต๊ะ แต่เมื่อนายโอลเซ่นได้ลงคมมีดฟันคอเจ้าไมค์ฉับ!!! เลือดไก่กระจายลงเขียง และท่ามกลางกองเลือดไก่และเศษขนไก่นั้น นายโอลเซ่นก็ต้องตะลึงพรึงเพริด เมื่อเจ้าไมค์ที่ไม่มีหัวนั้นยังไม่ตายแถมโดดลงจากเขียงและพยายามจะวิ่งหนีไป ทีนี้นายโอลเซ่นเลยหมดความต้องการจะกินเจ้าไมค์ในทันใด (กินลงอีกก็แปลกล่ะ) ก็เลยเอาเจ้าไมค์ไปเก็บไว้ในเล้าตามเดิม ในวันรุ่งขึ้นเจ้าของกลับว่าเจ้าไมค์กลับมาอยู่เล้าทั้งๆที่ไม่มีหัว แล้วยังทำท่าคุ้ยเขี่ยหาอาหารเหมือนกับไก่ทั่วๆไปผิดแต่ว่ามันไม่มีหัวเท่านั้นเอง! เจ้าของเลยสงสัยว่ามันอยู่ไปได้อีกนานเท่าไหร่ก็เลยเลี้ยงไปเรื่อยๆ โดยให้อาหารด้วยที่หยอดตาผ่านทางหลอดอาหาร การดำรงอยู่ของไมค์ สร้างความแปลกใจให้กับลอยด์อย่างยิ่ง เขาเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของเจ้าไมค์ไก่ยอดทรหด ลอยด์รู้ได้ทันทีว่า เจ้าไก่ตัวนี้ไม่ธรรมดา เป็นแน่แท้ มันพยายามดำรงชีวิตตามปกติ เช่น กระโดดขึ้นไปขันในตอนเช้า (ทั้งที่ไม่มีหัว) บนขื่อสูงๆ ( มันกระโดดปีนไปเกาะถูกได้ไงฟระ ???) และพยายามไซร้ขนเพื่อกำจัดเห็บไร ซึ่งเป็นปรสิตสามัญประจำตัวไก่ ส่วนลอยด์ก็ให้อาหารแก่ไมค์ด้วยการใช้หลอดยาหยอดตามาหยอดข้าวและน้ำลงไปผ่านลำคอของไมค์ จนหนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ไมค์ยังคงสภาพเป็นสิ่งมีชีวิต ทั้งที่หัวถูกดองอยู่ในขวดโหล ด้วยความสงสัย เขาจึงพาไมค์ไปที่มหาวิทยาลัยยูทาห์ ซอลท์เลกซิตี้ ห่างจากบ้านเขาประมาณ 400 กิโลเมตร ท่ามกลางความงงเต็กของบรรดานักวิทยาศาสตร์ แต่ก็ยังพอมีคำอธิบายเหตุการณ์ประหลาดได้ว่า....... เอ่อ......อันเนื่องมาจากตอนที่คุณลอยด์จามขวานลงมาบนคอของไมค์นั้น คมขวานไม่ได้ตัดตรงเส้นเลือดใหญ่ที่คอของมัน ทำให้เลือดแข็งตัวเร็วพอที่จะอุดรอยแผลและไม่เสียเลือดจนดับสิ้นสิ้นชีวาวาย ถึงมันจะอยู่ในสภาพไม่มีหัวที่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิตมากนัก ก็เพราะสมองส่วนใหญ่อยู่บนตัวของมัน ซึ่งสั่งการขั้นพื้นฐานอย่างการหายใจ ควบคุมการเต้นของหัวใจและปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าก็ยังอยู่พร้อมกับหูข้างซ้ายครับ! เมื่อเป็นดังนั้นลอยด์มองเห็นลู่ทางหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองจากไมค์ ไก่ไร้หัวชัดขึ้น โดยไม่ต้องปรับจูนอะไร เขานำเจ้าไมค์เดินสายโชว์ตัวทั่วอเมริกา เก็บค่าเข้าชมเหนาะๆ แค่คนละ 25 เซ็นต์ ไมค์ ไก่มหัศจรรย์ ( Miracle Mike) เป็นสมญานามใหม่ของไมค์ซึ่งลอยด์ตั้งให้กับมัน ลอยด์ตั้งค่าตัว ( รวมส่วนหัวที่อยู่ในขวดดอง) ไว้ที่ 10,000 ดอลล์ ( มากพอดูสำหรับค่าเงินเมื่อ 63 ปีก่อน) แถมพกด้วยลอยด์ทำประกันชีวิตให้ไมค์ถึง 10,000 ดอลล์เช่นกัน นอกจากนี้เจ้าไมค์ยังเป็นนายแบบและเรื่องราวลงตีแผ่บนหนังสือดังๆ เช่น ไลฟ์แม็กกาซีน นิตยสารไทม์ และกินเนสบุ๊คเป็นต้น เมื่อมีดารานำดังซะขนาดนี้ พฤติกรรมเลียนแบบดาราก็ติดตามมาเช่นกันทันทีที่ข่าวกระจายออกไป หลายคนพยายามลอกเลียนแบบลอยด์ แต่ก็เกือบมีคนเลียนแบบสำเร็จ เมื่อชายผู้ไม่ประสงค์ออกนาม แต่อยากดังแบบเดียวกับลอยด์บ้าง เขาเปิดเผยว่าเจ้าลักกี้ ( Lucky) ไก่ของเขาก็แสดงปาฏิหารย์แบบเดียวกันกับไมค์ แต่มีชีวิตอยู่ได้เพียง 11 วัน ซึ่งเจ้าลักกี้กลับไม่ชำนาญกับการใช้ชีวิตแบบไร้หัว มันเข้าไปติดอยู่ในปล่องไฟตายอย่างอนาถ พอถึงบทจะตายไมค์กลับต้องมาตายแบบง่ายดายเกินคาด หลังจากที่ไมค์เดินสายโชว์ตัว ( หัวไม่เกี่ยว) ลอยด์กับไมค์แวะพักที่โรงแรมอริโซน่า ขณะที่พักในคืนนั้น เม็ดข้าวโพดดันไปติดอยู่ในหลอดลมกระทันหัน อันที่จริงลอยด์ประสบเหตุการณ์แนวๆนี้บ่อยมาก และก็ช่วยได้ทุกครั้ง แต่มาครานี้ พระเจ้ากลับไม่เข้าข้าง ท่านเห็นสมควรดึงไมค์ขึ้นมาโชว์ตัวบนสวรรค์เสียที ประจวบเหมาะกับลอยด์หาที่หยอดตาไม่เจอ ไมค์จึงลาออกจากการเป็นสิ่งมีชีวิตไร้หัวในคืนนั้น รวมไมค์ดำรงชีวิตแบบไม่ต้องใช้หัวได้นานถึง 18 เดือน ! แม้นเหตุการณ์จะผันผ่านมาแล้วหลายปีดีดัก แต่ชาวเมืองฟรูอิทายังรักและคิดถึงมัน ต่อมานายแซลลี่ เอดิงตัน ( Sally Edinton) ผ.อ.สภาหอการค้าเมืองฟรูอิทา กำหนดให้วันที่ 17 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันไมค์ ไก่ไร้หัว ( Mike TheHeadless ! Chicken Day) ท่ามกลางความเห็นชอบของชาวเมือง จัดงานเฉลิมฉลองครั้งแรกในปี พ.ศ. 2542 ซึ่งมีเหตุผลนอกเหนือจากระลึกถึงเจ้าไมค์แล้ว ยังสร้างแรงบันดาลใจสำหรับการมีชีวิตอยู่บนโลก แม้จะมีอุปสรรคมากเพียงใดก็ตาม แน่ละครับเรื่องนี้ไปเข้าหูพวกสื่อมวลชนโดยนิตรสาร TIME มาขอทำเรื่องนี้ทำให้เจ้าไมค์ดังเป็นพลุแตกเลย ยัง! ผลทำให้มีคนเลียนแบบทั่วประเทศก็เลยทำให้ทุกบ้านมีไก่ย่างกินเป็นอาหารเย็นกันทุกวัน |