วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

"สิ่งนั้น"

พุทธดำรัส

" ...สิ่ง สิ่งหนึ่งอันบุคคลพึงรู้แจ้ง เป็นที่ไม่มีปรากฏการณ์ ไม่มีที่สุด มีทางปฏิบัติเข้ามาถึงได้โดยรอบ นั้นมีอยู่ ในสิ่งนั้นแหละ ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้ ในสิ่งนั้นแหละ ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่สามารถหยั่งลงได้ ในสิ่งนั้นแหละ นามรูป ดับสนิทไม่มีเหลือ นามรูปดับสนิทในสิ่งนี้ เพราะการดับสนิทของวิญญาณ ดังนี้แล"

ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ๙/๔๖๖/๔๓๑ เกวัฏฏสูตร


" ภิกษุทั้งหลาย สิ่งนั้นมีอยู่ เป็นสิ่งซึ่งในนั้นไม่มีดิน ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟ ไม่มีลม ไม่ใช่อากาสานัญจายตนะ ไม่ใช่วิญญานัญจายตนะ ไม่ใช่อากิญจัญญายตนะ ไม่ใช่เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่ใช่โลกนี้ ไม่ใช่โลกอื่น ไม่ใช่ดวงจันทร์หรือดวงอาทิตย์
ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีอันเดียวกับสิ่งนั้น เราไม่กล่าวว่ามีการมา เราไม่กล่าวว่ามีการไป ไม่กล่าวว่ามีการหยุด ไม่กล่าวว่ามีการจุติ ไม่กล่าวว่ามีการเกิดขึ้น สิ่งนั้นมิได้ตั้งอยู่ สิ่งนั้นมิได้ดับไป และสิ่งนั้นมิใช่อารมณ์ นั่นแหละคือที่สุดแห่งทุกข์"

ขุททกนิกาย อุทาน ๒๕/๗๑/๒๔๒-๒๔๓ ปฐมนิพพานปฏิสังยุตตสูตร

"สิ่งนั้น"

โอ้ สิ่งนี้ช่างประเสริฐจริงหนอ

ไม่มีจุดเริ่มต้นหรือแตกแยก

นอกเหนือจากกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ

ไม่เกี่ยวเนื่องด้วยกาละเวลา

ไม่มีใครหรือธรรมชาติอันใด

ที่จะเข้าไปเกี่ยวและยึดถือ

ช่างไม่รู้จะสรรหาสิ่งใดเข้าไปเปรียบเทียบ

ทั้งไม่สามารถบรรยายเป็นภาษาพูดได้

ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

แม้กาละเวลาจะหมุนเวียนเปลี่ยนไป

ตราบนาน เท่านาน แสนนาน

ทว่าสิ่งนี้ก็หาได้แปรเปลี่ยนไปตามไม่

ไม่มีใครที่จะอาจเอื้อมเข้าไปแตะต้องได้แม้แต่น้อย

ถึงขุนเขาจะละลาย แม่น้ำจะเหือดแห้งไป

แต่สิ่งนี้ก็ยังคงดำรงสภาพของมันอยู่

คงฟ้า คงดิน คงจักรวาล

ไม่มีใครจะร้องเรียกหรือตั้งชื่อมันได้

ไม่มีคนที่จะเข้าไปรู้เห็นมัน

ไม่อาจที่จะเข้าไปยึดถือว่าเป็นของคนนั้นคนนี้

โอ้ช่างวิเศษอะไรเช่นนี้

ถึงแม้กฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติจะไหลเรื่อยไป

ทุกขณะของกงล้อแห่งกาละ

เกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลาย

อยู่แล้วๆ เล่าๆ

แต่สิ่งนี้ก็ยังคงสภาพเดิมของมัน

ช่างไม่รู้ร้อน รู้หนาว รู้เปลี่ยนแปลงจริง

ฉันไม่รู้จะร้องเรียกสิ่งนั้นว่าอย่างไร

เพราะมันมิได้อยู่ใต้กฎแห่งธรรมชาติและสมมุติบัญญัติ

หรือกฎเกณฑ์ขอบข่ายของอะไรทั้งสิ้นในอนันตจักรวาลนี้

รัตน์ รตนญาโณ
๑ กันยายน ๒๕๑๕